การออกแบบสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ สำหรับส่งโรงพิมพ์นั้น อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะจะมีรายละเอียดที่ยิบย่อยอยู่มากพอสมควร หลายครั้งที่โรงพิมพ์รับไฟล์ต้นฉบับจากลูกค้ามาแล้วพบว่ามีปัญหาต่าง ๆ มากมาย แต่จะมีอยู่กลุ่มหนึ่งที่พบได้บ่อย วันนี้โรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี. จึงทำเช็คลิสต์สำหรับลูกค้าทุกท่าน เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจงานเบื้องต้น โรงพิมพ์แนะนำเป็นอย่างยิ่งว่า ลูกค้าควรใช้เช็คลิสต์นี้ ตรวจงานก่อนส่งงานให้กับโรงพิมพ์ทุกครั้ง จะทำให้งานที่มาถึงโรงพิมพ์แล้ว เข้าสู่กระบวนการพิมพ์ได้เร็วขึ้น งานก็จะเสร็จเร็วขึ้นตามไปด้วยครับ เช็คลิสต์ที่ว่านี้มีอะไรบ้างนั้น มาดูกันครับ
สำหรับลูกค้าที่ต้องการพิมพ์เช็คลิสต์ไปใช้งาน สามารถดาวโหลด Checklists ได้ที่นี่
1. ขนาดงาน
ควรเซ็ตหน้างานให้ตรงกับขนาดที่ตกลงกันไว้กับโรงพิมพ์ตามใบเสนอราคา หรือติดต่อสอบถามทางโรงพิมพ์ก่อนทุกครั้งหากไม่แน่ใจ ยกตัวอย่างเช่น หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คส์ขนาด A5 ในขณะที่ขนาด A5 ตามมาตรฐาน ISO จะเป็น 148 x 210 มม. แต่ขนาดสำเร็จในมาตรฐานโรงพิมพ์ในเมืองไทยจะเป็น 145 x 210 มม. โรงพิมพ์จะใช้ขนาด 145 x 210 มม. เป็นหลักนะครับ หรือขนาด A4 ตามมาตรฐาน ISO คือ 210 x 297 มม. แต่มาตรฐานโรงพิมพ์จะเป็น 210 x 292 มม.
ดังนั้นขนาดสำเร็จของหนังสือทั้งเนื้อในและหน้าปกก็ควรจะมีขนาดที่ถูกต้องเช่นกัน การทำงานด้วยโปรแกรมบางประเภท เช่น Adobe Illustrator หากลูกค้าเซ็ตหน้างานมาไม่ถูกต้อง จะทำให้เสียเวลาในการกลับไปแก้ไขเป็นอย่างมาก ทางที่ดีควรปรึกษาขนาดหน้างานกับทางโรงพิมพ์ก่อนเริ่มงานทุกครั้งครับ
![]()
2. ตัดตก
สำหรับงานทุกประเภทที่ทำส่งโรงพิมพ์ ไม่ว่าจะสร้างงานมาด้วยโปรแกรมใดก็ตาม จะต้องเซ็ตขนาดตัดตกเผื่อเจียนไว้ด้วยทุกครั้ง (ตัดตกเผื่อเจียนคืออะไรอ่านได้จากที่นี่) งานส่วนใหญ่ที่ทำสำเร็จมาแล้วนั้นทางโรงพิมพ์ไม่สามารถแก้ไข/เพิ่มเติมอะไรให้ได้ ถ้าตรวจพบ จะแจ้งเตือนลูกค้าให้กลับไปแก้งานใหม่ครับ ดังนั้นก่อนจะลงมือทำต้นฉบับทุกครั้ง ลองปรึกษากับโรงพิมพ์ก่อนซักนิดครับ
![]()
3. โปรไฟล์สี
งานที่จะส่งพิมพ์ในระบบออฟเซ็ต ต้องใช้ระบบสี CMYK เท่านั้น ภาพหลายภาพที่ลูกค้าดาวโหลดมาจากอินเตอร์เนท หรือถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลนั้นเป็นระบบสี RGB ซึ่งบางครั้งนำมาออกแบบ แต่ไม่ได้แปลงระบบสีมาให้โรงพิมพ์ พอนำมาพิมพ์จริงแล้วสีเพี้ยนนะครับ แนะนำให้ตั้งค่าระบบสีให้ถูกต้องก่อนเริ่มงานทุกครั้งครับ สำหรับงานที่พิมพ์ปกสีเดียว (ขาวดำ) รูปที่เป็นขาวดำก็ต้องเป็นดำเดี่ยว (Greyscale) ไม่ใช่สีดำ 4 เม็ด
4. ใช้ดำเดี่ยวสำหรับตัวหนังสือ
สำหรับงานในลักษณะของหนังสืออ่านพิมพ์สีเดียว (ขาวดำ) เช่น หนังสือแบบเรียน หนังสือนิยาย ฯลฯ ที่เน้นให้อ่านตัวหนังสือ เน้นข้อความ จะต้องใช้สีดำเดี่ยว (K100) กับตัวหนังสือเท่านั้น ห้ามทำเป็นดำ 4 เม็ดมาเด็ดขาด (ดำเดี่ยว ดำ 4 เม็ดคืออะไร อ่านต่อที่นี่)
5. แนบฟอนต์ด้วยเสมอ
หากลูกค้ามีการใช้งานฟอนต์พิเศษ จะต้องทำการแนบฟอนต์ส่งมากับไฟล์งานด้วยเสมอ เพราะเมื่อโรงพิมพ์เปิดไฟล์งานของลูกค้าแล้ว ถ้าพบว่าไม่มีฟอนต์ โปรแกรมจะฟ้อง Error ทำให้ไม่สามารถแก้ไขงานได้ ในกรณีที่ลูกค้าไม่ต้องการส่งไฟล์ฟอนต์มา ลูกค้าสามารถเปลี่ยน Text ในโปรแกรม ให้เป็นภาพได้ เช่น การใช้คำสั่ง Create Outline ใน Adobe Illustrator หรือการ Rasterize Type ใน Adobe Photoshop
![]()
6. แนบไฟล์ด้วยเสมอ
ไฟล์ที่นำมาวางในงาน เช่นเดียวกันกับฟอนต์ หากลูกค้ามีการนำภาพ หรือไฟล์อื่น ๆ มาวางในงาน จะต้องทำการแนบไฟล์มาด้วยเสมอ ไม่เช่นนั้นแล้วทุกครั้งที่ทางโรงพิมพ์เปิดไฟล์ จะขึ้น Error Missing Link ภาพไม่ปรากฎในงาน และนำไปใช้พิมพ์งานไม่ได้ ลูกค้าสามารถใช้คำสั่ง Embed Image ใน Adobe Illustrator เพื่อทำการฝังไฟล์ภาพลงไปในไฟล์งานได้ หรือในกรณีที่ทำงานด้วย Adobe InDesign ลูกค้าควรส่งงานเป็น Package เท่านั้น (การส่งงานเป็น Package คืออะไร ดูได้จากที่นี่)
![]()
7. เช็คระยะจากขอบกระดาษ
ระยะจากขอบกระดาษ การเข้าเล่มในรูปแบบต่าง ๆ มีผลกับการออกแบบงานด้วยนะครับ ถ้าหนังสือหนาต้องเข้าเล่มแบบไสกาว ถ้าหนามากเวลาเปิดอ่านจะลำบากกว่าเล่มบาง ทำให้พื้นที่ด้านในบริเวณสันจะอ่านได้ลำบากกว่าที่อื่น ดังนั้นจะต้องเว้นระยะจากสันออกมามากกว่าปกติอยู่พอสมควร ระยะที่เหมาะสมสำหรับงานหนังสือเช่นหนังสือนิยาย โดยประมาณจะอยู่ที่ 15 มม.โดยรอบ และ 20-25 มม.
สำหรับสันหนังสือ ส่วนหนังสือที่เข้าเล่มแบบเย็บกลาง เช่น นิตยสาร หรือแคทตาล็อก อาจจะเว้นระยะจากขอบกระดาษได้ 8-10 มม.โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสันครับ
![]()
8. การวางหน้าคู่หน้าคี่
สำหรับหนังสือที่มีเลขหน้านั้น สำหรับโรงพิมพ์แล้ว หน้า 1 จะเริ่มนับตั้งแต่หน้าแรกสุดที่อยู่ถัดจากหน้าปกเสมอ แต่ลูกค้าบางท่านอาจจะไม่ได้นับหน้าที่อยู่ถัดจากหน้าปกเป็นหน้า 1 เสมอไป อาจจะไปเริ่มจากหน้าด้านใน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติของหนังสือแล้ว หน้าขวามือจะเป็นหน้าคี่เสมอ และหน้าซ้ายมือจะเป็นหน้าคู่เสมอ การวางตำแหน่งของเลขหน้าก็จะอิงกับหน้าซ้ายหรือขวาด้วย ถ้าเป็นหน้าซ้ายมือ ตำแหน่งของเลขหน้าก็มักจะอยู่บริเวณด้านซ้าย (ไม่ว่าจะอยู่ด้านบน กลาง หรือด้านล่างก็ตาม)
หากลูกค้ามีการวางเลขหน้าสลับซ้ายขวาคู่คี่ ทางโรงพิมพ์จะแจ้งเตือนให้กลับไปแก้ไขก่อนครับ แต่ถ้าลูกค้ายืนยันว่าต้องการออกแบบมาให้แปลกตาในลักษณะนั้น ก็สามารถทำได้เช่นกันครับ
9. เช็คระดับเลขหน้า
เลขหน้า / Footer / Header ในแต่ละหน้า ควรจะต้องรักษาระดับให้เท่า ๆ กัน หลายครั้งโรงพิมพ์พบว่า ตำแหน่งของ Header / Footer ไม่มีความแน่นอน สูงบ้าง ต่ำบ้าง ถ้าทางโรงพิมพ์ตรวจพบ จะแจ้งให้ลูกค้าทราบครับ
10. เช็คความต่อเนื่องของการออกแบบ
กรณีมีคนทำกราฟฟิคหลายคน จะต้องมีคนกลาง 1 คนในการรวบรวมไฟล์ทั้งหมด มาตรวจสอบถึงความถูกต้องของไฟล์ทั้งหมดก่อนส่งโรงพิมพ์ โดยมากแล้วทางโรงพิมพ์จะเจอกรณีที่ ดีไซน์เนอร์แต่ละคนทำงานมาไม่เหมือนกัน บางคนตั้ง Profile สี เป็น RGB บางคนตั้งเป็น CMYK บางคนตั้งค่าหน้ากระดาษ A4 เป็น 210 x 292 มม. บางคนตั้งA4 เป็น 210 x 297 มม. บางคนใช้ฟอนต์แบบนึง อีกคนใช้ฟอนต์ไม่เหมือนกัน
หลายครั้งที่ตัวงานมีกราฟฟิคต่อเนื่องกันไปในหลายหน้า เช่น โลโก้ แถบสีบริเวณขอบกระดาษ ภาพที่ใช้ร่วมกันหลายหน้า ฯลฯ ทางโรงพิมพ์พบว่ากราฟฟิคเหล่านี้ขาดความต่อเนื่องกันเช่น โลโก้มีความคมชัดไม่เท่ากัน สีบริเวณขอบกระดาษเข้มอ่อนไม่เท่ากัน เป็นต้น สำหรับกรณีเหล่านี้ ทางโรงพิมพ์จะแจ้งกลับไปยังผู้ประสานงาน เพื่อทำการแก้ไขต่อไปครับ
11. ตั้งชื่อไฟล์และโฟลเดอร์
ตั้งชื่อไฟล์ / โฟลเดอร์ ให้ตรงตามรายละเอียดของงาน หลายครั้งทางโรงพิมพ์พบว่า ลูกค้ามีการนำรูปภาพรูปเดียวกัน มาใช้งานในหลายส่วน เช่นนำภาพปกมาทำเป็นโปสเตอร์ด้วย แต่มีการตั้งชื่อไฟล์งานหรือโฟลเดอร์ที่อาจจะสร้างความสับสนให้โรงพิมพ์ได้ เช่น ชื่อโฟลเดอร์เป็น “ไฟล์สำหรับปก” แต่พอเปิดเข้าไปข้างในแล้วพบว่าเป็นไฟล์สำหรับโปสเตอร์ บางกรณีที่เป็นงานสลับซับซ้อน อาจจะเกิดความผิดพลาดในการหยิบไฟล์ไปใช้งานได้
หรือบางกรณีลูกค้าส่งไฟล์มา 2 ไฟล์ ไฟล์แรกตั้งชื่อไว้ว่าล่าสุด ไฟล์ที่สองตั้งชื่อว่าอัพเดท แต่สรุปแล้ว ทางโรงพิมพ์ไม่มีทางทราบได้เลยว่าตกลงจะให้ใช้ไฟล์ไหน ถ้าเป็นไปได้ พยายามส่งไฟล์ที่ต้องการจะใช้งานเพียงไฟล์เดียวมาให้โรงพิมพ์ ตั้งชื่อให้สื่อถึงลักษณะงาน จะสามารถลดข้อผิดพลาดลงไปได้เยอะครับ