โรงพิมพ์พบว่าหลาย ๆ ครั้งที่ลูกค้าทำงานส่งโรงพิมพ์มานั้น ไม่ได้ทำตัดตกมาให้ด้วย ซึ่งทำให้โรงพิมพ์ต้องแจ้งกลับลูกค้าเพื่อกลับไปแก้ไขอีกรอบ ทำให้เป็นการเสียทั้งแรงและเวลาของลูกค้าไปนะครับ ซึ่งถ้าก่อนจะเริ่มออกแบบงานทุกงาน เราเตรียมตั้งค่าพื้นที่ตัดตกไว้ ก็จะเป็นการประหยัดเวลาไปได้เยอะ ไม่ต้องกลับมาแก้ไขงานทีหลัง เพราะยังไงพื้นที่ตัดตก เผื่อเจียนนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ไม่มีไม่ได้เด็ดขาด

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจในกระบวนการพิมพ์ก่อนเล็กน้อยว่าจริง ๆ แล้วเวลาโรงพิมพ์ พิมพ์งานออกมาไม่ได้เป็นขนาดสำเร็จรูปนะครับ แต่จะมีขอบกระดาษเพื่อเอาไว้ให้กริปเปอร์เครื่องพิมพ์จับกระดาษเวลาทำงาน รวมไปถึงไกด์สีและข้อมูลอื่น ๆ สำหรับช่างพิมพ์ ดังนั้น พิมพ์งานเสร็จแล้ว จะส่งให้ลูกค้า ก็จะต้องมีการตัดขอบกระดาษส่วนนี้ทิ้งไป การตัดแบบนี้จะทำให้งานที่ออกมา มีขอบเรียบเสมอกัน มีขนาดเท่ากันทุก ๆ เล่มที่พิมพ์ครับ

r001_tudtok_02
ภาพที่ 1 : ตัวอย่างงานโปสเตอร์ที่กำลังขึ้นแท่นตัด  เพื่อตัดขอบกระดาษส่วนเกินทิ้ง   จะสังเกตเห็นได้ว่า  ขนาดกระดาษก็ไม่ได้เท่ากันทุกแผ่น

เมื่อทำการตัดกระดาษแล้ว  แน่นอนว่าเราไม่สามารถตัดตรงขอบงาน (ในภาพจะเป็นรอยต่อสีขาวและม่วง) แบบเป๊ะ ๆ ได้  แถมงานที่พิมพ์ออกมาทั้งหลายพันหลายหมื่นแผ่น  ก็ไม่ได้ตรงกันเป๊ะทุกแผ่นนะครับ  ไม่ว่าจะพิมพ์ด้วยระบบดิจิตอลหรือออฟเซ็ต  หรือพิมพ์ด้วยเครื่องจักรล้ำสมัยขั้นเทพเพียงใด  ก็ไม่สามารถทำให้ตรงกันได้ทุกแผ่นครับ  สิ่งนี้จำเป็นมาก ๆ นะครับ และนักออกแบบส่วนใหญ่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานกับโรงพิมพ์มาก่อนจะไม่รู้  งานที่ไม่ได้เผื่อตัดตก  บางครั้งจะทำให้มีขอบขาว ๆ เกิดขึ้นเวลาพิมพ์งานจริง  กระดาษบางแผ่นอาจจะมีเนื้องานขอบขาวยื่นล้ำเข้าไปได้  ดังนั้นเวลาออกแบบกราฟฟิคอาร์ตเวิร์ค  นักออกแบบจะต้องเผื่อระยะตัดตกมาไว้เสมอ  โดยปกติแล้วทางโรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี. จะแจ้งลูกค้าก่อนว่างานที่ทำมาไม่ได้เผื่อตัดตกไว้  ถ้าลูกค้าไม่ได้เผื่อตัดตกมาให้ทางโรงพิมพ์  ในกรณีนี้อาจจะมีขอบงานสีขาวแลบเข้าไปในเนื้อโปสเตอร์ได้ครับ

r001_tudtok_04
ภาพที่ 2 : เมื่อตัดเจียนงานทิ้งแล้ว  ขอบกระดาษก็จะเรียบเนียนกริบ  เท่ากับเป๊ะทุกแผ่น  แถมตัวโปสเตอร์สีม่วงก็ไม่มีขอบขาวแลบออกมาด้วย

ดู VDO สาธิตการตัดเจียนงานได้ที่นี่

ระยะตัดตกกับงานหนังสือเล่ม

ถ้าถามว่าระยะตัดตกนี้  ใช้กับงานอะไรบ้าง  ก็ต้องตอบว่าใช้กับงานทุกประเภทที่พิมพ์โดยเครื่องพิมพ์  ไม่ว่าจะเป็นระบบออฟเซ็ทหรือระบบดิจิตอลก็ตาม  ลองมาดูงานหนังสือกันบ้างนะครับว่าระยะตัดตกนี้  มีผลอย่างไรบ้างกับงานที่เป็นหนังสือรูปเล่ม  เวลาโรงพิมพ์พิมพ์งานหนังสือจะไม่ได้พิมพ์ทีละหน้า  แต่จะพิมพ์เป็นยกแล้วนำแต่ละยกมาพับเพื่อรอทำการเข้าเล่มอีกทีนึง  รูปตัวอย่างที่นำมาแสดงนี้  เป็นการเข้าเล่มแบบเย็บมุงหลังคา  ดังนั้นเมื่อพับงานแต่ละยกมาเสร็จแล้ว  ก็จะนำมาซ้อนกันเพื่อรอเข้าสู่กระบวนการเย็บเล่มอีกที

img_3255
ภาพที่ 3 : งานพิมพ์ที่ออกจากเครื่องพิมพ์ขนาด A4 พิมพ์ทีละ 8 หน้า
img_3262
ภาพที่ 4 : งานที่พับแล้วเตรียมนำมาซ้อนกันเพื่อรอการเย็บ  สังเกตว่าขอบกระดาษที่ติดมาร์คการพิมพ์ก็ยังอยู่
img_3266
ภาพที่ 5 : หนังสือที่เก็บเล่มแล้วรอการเย็บ    จะเห็นได้ว่ายังมีขอบกระดาษอยู่ทั้งสองด้าน  ซ้ายและขวาของรูปเล่ม

เมื่อทำการเย็บเล่มแล้ว  ก็จะต้องมีการตัดเจียนรูปเล่มรอบด้านให้เป็นงานสำเร็จ  งานหนังสือที่พับมาถ้าไม่ตัดขอบ 3 ด้าน  ก็จะเปิดอ่านเป็นหน้าไม่ได้น่ะครับ  (แน่ล่ะ  เพราะมีอย่างน้อย 1-2 ด้านที่ถูกพับมา)  ระยะตัดตกที่ลูกค้าเผื่อมานั้นจะทำให้งานที่ออกมามีความสมบูรณ์ 100%  ไม่มีขอบขาวแลบเข้าไปในเนื้องาน  เนื้องานและรูปภาพถูกพิมพ์เต็มพื้นที่ของกระดาษ  ตรงนี้มีข้อควรระวังสำหรับลูกค้าและนักออกแบบทุกท่านนิดนึงนะครับ  ก็คือเราไม่ควรที่จะวางเนื้อหาสำคัญของหนังสือไว้ชิดขอบกระดาษมากจนเกินไป  เพราะมีโอกาสที่ตัวหนังสือ รูปภาพ  ข้อความสำคัญที่วางไว้ชิดขอบกระดาษจะถูกตัดออกระหว่างการเจียนรูปเล่ม  คำว่ามีโอกาสในที่นี้คือ  อาจจะมีบางเล่มโดนตัด  บางเล่มไม่โดน  โดนตัดทุกเล่ม  หรือไม่โดนตัดซักเล่มเลยก็ได้นะครับ  ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย  วางเนื้อหาสำคัญห่างจากขอบงานไว้ซักหน่อยนะครับ  ว่าด้วยเรื่องการวางงานนี้  แนะนำให้ลูกค้าและนักออกแบบทุกท่านอ่านบทความ  เกี่ยวกับการวางงานบนหน้ากระดาษของทางโรงพิมพ์ประกอบด้วยครับ

img_3271
ภาพที่ 6 : ภาพเปรียบเทียบงานก่อนตัดรูปเล่ม  และงานที่สำเร็จสมบูรณ์แล้ว  จะเห็นได้ว่าขอบกระดาษถูกตัดออกไปพอสมควรเลยทีเดียว
img_3275
ภาพที่ 7 : ภาพเปรียบเทียบงานก่อนตัดรูปเล่ม  และงานที่สำเร็จสมบูรณ์แล้ว
img_3288
ภาพที่ 8 : ภาพเปรียบเทียบงานก่อนตัดรูปเล่ม  และงานที่สำเร็จสมบูรณ์แล้ว

ระยะตัดตกควรจะเผื่อให้เท่าไหร่ดี

โดยปรกติทั่วไปแล้ว   ถ้าเป็นหนังสือไสกาว / เย็บกี่ไสกาว  โดยทั่วไประยะตัดตกควรจะเว้นไว้ไม่ต่ำกว่า 3 มม. เป็นอย่างน้อย  แต่ก็มีหลายกรณีที่ควรจะเว้นระยะตัดตกมาให้มากขึ้น  โดยเฉพาะหนังสือที่เข้าเล่มแบบเย็บมุงหลังคา  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?  เพราะว่าหนังสือที่เข้าเล่มแบบเย็บมุงหลังคา  ถ้าหนังสือมีความหนามาก   เวลาพับเพื่อทำการเข้าเล่มแล้ว  หน้าที่อยู่คู่ในสุดกับหน้าที่อยู่คู่นอกสุด (ปกหนังสือ) จะอยู่ห่างกันถึง 5-6 มม. เลยทีเดียว  ในกรณีนี้  ระยะตัดตกก็ควรจะมีประมาณ 5-6 มม.เช่นกัน

อันเนื่องมาจากจำนวนหน้าที่เยอะของหนังสือนี่เอง  ทำให้การเข้าเล่มแบบเย็บมุงหลังคาไม่ควรใช้กับหนังสือที่มีความหนาเกิน 80 หน้าโดยประมาณ  ถ้าหนังสือที่มีความหนาเกิน 80 หน้า  ทางโรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี. แนะนำให้ลูกค้าเข้าเล่มแบบไสกาวจะดีกว่าครับ  เพราะถึงแม้เราคิดว่าเราออกแบบ artwork มาดีแล้ว  แต่ด้วยความหนาของหนังสือ  หน้าด้านในสุดก็มีโอกาสที่เนื้อหาหรือข้อความจะโดนตัดออกไปอยู่สูงทีเดียวครับ

img_3200
ภาพที่ 9 : หนังสือที่มีความหนามาก  ก่อนเข้าเล่มมาร์คตัด  ยังตรงกันอยู่
img_3205
ภาพที่ 10 : หนังสือที่มีความหนามาก  เมื่อนำมาเย็บมุงหลังคา  หน้าในสุดกับหน้าปกเหลื่อมกันได้ 5-6 มม. เลยทีเดียว
img_3212
ภาพที่ 11 : เมื่อนำมาสอดเล่มแล้ว  จะเห็นได้ว่า  หน้าที่อยู่ด้านใน ๆ มีโอกาสตัดโดนตัวหนังสืออยู่ดี

Slug คืออะไร จำเป็นต้องตั้งค่าหรือไม่

ว่าในเรื่องของ Bleed (ตัดตก) ไปแล้ว  ก็มาถึงส่วนของ Slug กันบ้างนะครับ  Slug จะเป็นพื้นที่ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ใช้งานนอกจากโรงพิมพ์  เพราะมันคือพื้นที่ว่าง ๆ ที่นอกเหนือจากงานพิมพ์ออกไป  ใช้เป็นพื้นที่ที่เอาไว้ใส่ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้โรงพิมพ์ทำงานได้ดีขึ้น  ในส่วนนี้ลูกค้าไม่ต้องสนใจก็ได้ครับ  ตั้งค่าแค่ในส่วนของตัดตกก็เพียงพอแล้ว